
โรคหัวใจเป็นหนึ่งในโรคที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง การระวังป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ หลายคนคงทราบดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทานอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และตรวจเช็กสุขภาพหัวใจเป็นประจำ ฯลฯ แต่ทราบหรือไม่ว่านอกจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ แล้ว ‘ลิ้นหัวใจรั่ว’ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ ซึ่งลิ้นหัวใจเกี่ยวข้องกับหัวใจโดยตรง ถ้าหากเกิดรั่วหรือทำงานผิดปกติ หัวใจก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่หรืออาจถึงขนาดหัวใจวายได้เลยทีเดียว
การทำงานของลิ้นหัวใจ
ลิ้นหัวใจ เป็นเนื้อเยื่อที่กั้นห้องของหัวใจทั้ง 4 ห้อง ทำหน้าที่หลักคือกั้นให้เลือดไหลไปในทิศทางที่ถูกต้อง ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดเป็นปกติ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะหากเลือดหยุดไหลเวียนเมื่อไรจะทำให้เสียชีวิตได้
อาการลิ้นหัวใจรั่ว
ลิ้นหัวใจที่มีปัญหาส่วนใหญ่ คือ Mitral Valve/ Aortic Valve (หัวใจฝั่งซ้าย) เพราะฝั่งซ้ายทำหน้าที่ปั๊มเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ความดันจึงสูงกว่า พอบีบตัวแรง เลือดก็พุ่งแรงทำให้ลิ้นหัวใจเกิดความเสียหายมาก ส่วนใหญ่เรามักพบโรคลิ้นหัวใจรั่วในผู้สูงอายุ มีบ้างที่พบในเด็ก
อาการที่พบ ได้แก่ หอบ เหนื่อย ไม่มีแรง หน้ามืดเป็นลมบ่อย ๆ อาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจ เนื่องจากหลอดเลือดและลิ้นหัวใจเสื่อมสภาพ กรอบ แข็ง ความยืดหยุ่นน้อยและมีไขมัน หินปูนเกาะ ทำให้ลิ้นหัวใจเปิด – ปิดไม่สนิท
โรคที่เกิดจากลิ้นหัวใจ
โรคที่เกิดจากลิ้นหัวใจมี 3 ประเภท คือ
- ลิ้นหัวใจรูห์มาติก (Rheumatic Heart Disease) เกิดจากการติดเชื้อในลำคอหรือผิวหนัง และทำให้เกิดการสร้างภูมิต้านทาน ส่งผลให้มีการทำลายเนื่อเยื่ออื่น ๆ รวมทั้งลิ้นหัวใจ เมื่อลิ้นหัวใจถูกทำลายจะมีพังพืดและหินปูนเกาะ ทำให้ลิ้นหัวใจเปิด – ปิดไม่ดีเหมือนปกติ หัวใจจึงต้องทำงานหนักมากขึ้น
- ลิ้นหัวใจเสื่อมสภาพตามวัย (Degenerative) เกิดจากการที่ลิ้นหัวใจเสื่อมสภาพตามอายุ ส่วนใหญ่พบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพไป ทำให้ลิ้นหัวใจผิดรูป เกิดการเปิด – ปิดที่ไม่สนิท ซึ่งจะทำให้เกิดอาการโรคลิ้นหัวใจรั่วได้
- เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ ทำให้เกิดการตายของกล้ามเนื้อ หัวใจจะอ่อนแรงเมื่อเป็นมากขึ้น อาจทำให้เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว ส่วนใหญ่จะเป็นกับคนอายุ 50 – 60 ปี
รักษาโรคลิ้นหัวใจรั่ว
ปัจจุบันการรักษาได้พัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่เปิดหน้าอก การผ่าตัดแผลเล็ก ทำให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น ความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนลดน้อยลง
การรักษามี 2 วิธี คือ
- ลิ้นหัวใจที่เป็นโลหะ อายุการใช้งานมีความทนทานดี แต่การเปลี่ยนลิ้นหัวใจชนิดนี้ต้องกินยาละลายลิ่มเลือด เพื่อป้องกันเลือดแข็งตัวไปตลอดชีวิต
- ลิ้นหัวใจที่ทำจากเยื่อหุ้มหัวใจหมูหรือวัว ทำให้เกิดลิ่มเลือดต่ำมาก เพราะไม่ใช่โลหะ ไม่จำเป็นต้องกินยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดไปตลอดชีวิต แต่เนื่องจากเป็นเนื้อเยื่อก็จะโดนภูมิต้านทานของร่างกายต่อต้านและทำลาย จนทำให้เกิดพังพืด มีหินปูนมาเกาะจนทำให้ลิ้นหัวใจแข็ง เปิด – ปิดได้ไม่ดี
สิ่งที่ควรพิจารณาสำหรับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ คือ ถ้าเปลี่ยนด้วยเนื้อเยื่อจะมีอายุการใช้งาน 10 – 15 ปี หลังจากนั้นอาจต้องพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจอีกครั้ง ในขณะที่เปลี่ยนลิ้นหัวใจที่เป็นโลหะต้องทานยาป้องกันการแข็งไปตลอดชีวิต ซึ่งมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในสมองได้สูง เช่น มีเลือดออกในสมอง ซึ่งจะเป็นได้มากขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านไป”
2. การซ่อมลิ้นหัวใจ (Valve Repair) ทำได้หลายกรณี ดังนี้
- กรณีที่เป็นลิ้นหัวใจรูห์มาติก (Rheumatic) เกิดจากหินปูนไปเกาะตัวที่ลิ้นหัวใจ ทำให้เป็นพังพืด จะทำการซ่อมลิ้นหัวใจโดยการลอกหินปูนที่จับตัวออกและหาเนื้อเยื่ออื่นมาซ่อมแทนเพื่อให้ลิ้นหัวใจทำงานได้ใกล้เคียงปกติหรือเหมือนเดิม
- กรณีที่เป็นลิ้นหัวใจเสื่อมสภาพตามวัย (Degenerative) เช่น เอ็นยึดลิ้นหัวใจที่ยืดหรือขาด ลิ้นหัวใจเองย้วย การซ่อมสามารถทำโดยการซ่อมลิ้นหัวใจให้กระชับได้ใกล้เคียงปกติ
ผลการผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจส่วนใหญ่ทำให้คนไข้อาการดีขึ้น เหนื่อยน้อยลง และผลระยะยาวจะดีกว่าการเปลี่ยนลิ้นหัวใจ เนื่องจากไม่ต้องกังวลกับภาวะแทรกซ้อนจากการกินยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด สิ่งสำคัญในการรักษาไม่ว่าจะเป็นการซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจคือ ประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ เพื่อให้คนไข้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ มีทีมแพทย์ผู้ชำนาญในการรักษาและมีเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยได้มาตรฐาน มีเครือข่ายโรงพยาบาลครอบคลุมทั่วประเทศ สามารถให้คำปรึกษา ทำการผ่าตัดได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งยังมีแพทย์ผู้ชำนาญในการฝึกอบรมให้ความรู้แก่แพทย์ด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นการให้บริการด้านโรคหัวใจในทุกด้าน