หลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน

หลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน
แชร์
ในช่วงหลายสิบกว่าปีที่ผ่านมา คนไทยมีแนวโน้มการเสียชีวิตด้วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน ซึ่งปัจจุบันเป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย โดยพบว่าอาหารเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากการบริโภคที่เปลี่ยนไป ด้วยอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง ออกกำลังกายน้อยลง และมีความเครียดมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นกรรมพันธุ์อีกด้วย

สาเหตุหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตันเกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจแข็งตัว หรือมีไขมันไปเกาะผนังของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแดงตีบแคบลง ปริมาณเลือดแดงผ่านได้น้อย เป็นผลทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และหากหลอดเลือดแดงตีบแคบมากจนอุดตัน จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้
      
คราบพลักในหลอดเลือด ความเสี่ยงที่ทำให้เกิดสภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบตัน

สภาวะของเส้นเลือดที่ทำให้้เกิดเส้นเลือดหัวใจตีบตัน

เส้นเลือดหัวใจขณะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ


อาการหลอดเลือดหัวใจตีบ

  • ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ  แต่ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันค่อนข้างมากจะมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างมากจนทนไม่ได้ เหมือนมีอะไรหนัก ๆ กดทับตรงกลางหน้าอก หรือการเจ็บจากหน้าอกขึ้นไปถึงคาง หรือเจ็บลงไปถึงแขนซ้าย
  • หายใจหอบ เหนื่อย
  • เหงื่อแตกใจสั่น
  • หมดสติ หรือหัวใจหยุดเต้น (Heart Attack)


ปัจจัยเสี่ยงคุมไม่ได้

ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ มีดังนี้

  • อายุ : โดยปกติแล้ว ความเสี่ยงของโรคหัวใจจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น
  • พันธุกรรม : ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • เพศ : ผู้ชายจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่าผู้หญิงก่อนวัยหมดประจำเดือน


ปัจจัยเสี่ยงควบคุมได้

ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตันได้ มีดังนี้

  • โรคความดันโลหิตสูง : การปล่อยให้ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดมาเลี้ยงร่างกาย กล้ามเนื้อหัวใจจะหนาขึ้น หัวใจจะโตขึ้น หลอดเลือดตีบแข็งและอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย และนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวในที่สุด
  • การสูบบุหรี่ : ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 2 – 4 เท่า เนื่องจากสารที่อยู่ภายในบุหรี่จะทำให้เซลล์ที่เยื่อบุผนังหลอดเลือดเสื่อม ทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน ซึ่งนำไปสู่สภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย
  • ระดับไขมันในเลือด : ผู้ที่มีระดับไขมัน LDL คอเลสเตอรอลสูงจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงขึ้น ไขมันดังกล่าวทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้นและหลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลเวียนน้อยลง ในที่สุดหลอดเลือดหัวใจก็อุดตันและเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย
  • โรคเบาหวาน : ทำให้ความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและหัวใจสูงขึ้น เบาหวานทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ เสื่อมลง
  • การขาดการออกกำลังกาย : ผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายจะมีความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดและหัวใจสูงขึ้น การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ และยังช่วยควบคุมปัจจัยความเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ความดันโลหิต ระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือด เบาหวาน และน้ำหนักที่มากเกินหรืออ้วน
  • ความอ้วน : ผู้ที่มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 กิโลกรัม / ส่วนสูง (เมตร)2 ถือว่ามีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดและหัวใจ โดยสามารถคำนวณดัชนีมวลกายได้จากน้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (หน่วยเป็นเมตร) ยกกำลัง 2 อย่างไรก็ตามหากมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย แม้มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 25 กิโลกรัม / (เมตร)2 ก็ถือว่ามีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มขึ้น

 

รักษาหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน

วิธีการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันที่ได้รับความนิยม คือ การเปิดทางเดินเส้นเลือดหัวใจที่ตีบ แบ่งออกเป็น

1. การขยายด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด 

การรักษาด้วยการบอลลูนจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ      การขยายคราบพลักจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

2. การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ

ภาพหัวใจเพื่อรักษาอาการเส้นเลือดหัวใจตีบ

การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ หรือที่รู้จักกันว่า “การทำบายพาส” แพทย์จะใช้เส้นเลือดภายในทรวงอกด้านซ้ายและเส้นเลือดแดงบริเวณแขนซ้าย หรือเส้นเลือดดำบริเวณขา ตั้งแต่ข้อเท้าด้านในจนถึงโคนขาด้านในมาเย็บต่อเส้นเลือดเพื่อนำเลือดแดงจากเส้นเลือดแดงใหญ่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจส่วนที่ขาดเลือดโดยข้ามผ่านเส้นเลือดส่วนที่ตีบ


“กรณีแพทย์ตัดสินใจทำการผ่าตัด ส่วนใหญ่จะทำเมื่อเส้นเลือดตีบและอุดตันแล้วประมาณ 70% ขึ้นไป แต่หากมีไขมันมาเกาะโดยไม่มีหินปูน และมีอายุ 30 – 40 ปี อาจรักษาด้วยการทานยา จะช่วยให้ไขมันลดลง หรือกรณีที่อุดตันเส้นเดียวก็ทานยาหรือใส่ขดลวดบอลลูนได้”

การทำผ่าตัดบายพาสโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันในปัจจุบัน มี 2 วิธี  คือ

  1. การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ โดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off – Pump CABG) หรือแบบไม่ต้องหยุดหัวใจ
  2. การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ แบบต้องใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (On Pump CABG) เพื่อหยุดการทำงานของหัวใจทั้งหมด

นอกจากนี้การผ่าตัดบายพาสแบบไม่หยุดหัวใจ ทำให้ใช้ปริมาณเลือดน้อยลง ลดระยะเวลาการผ่าตัดและการดมยาสลบให้สั้นลง ตลอดจนระยะเวลาการพักฟื้นในโรงพยาบาลสั้นกว่าการผ่าตัดบายพาสหยุดหัวใจ

การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน

  1. รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดและมาตรวจตามนัดทุกครั้ง
  2. รับประทานผัก ผลไม้ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 – 3 ลิตร
  3. รับประทานอาหารแต่พออิ่มและควรพักหลังอาหารประมาณ 1/2 – 1 ชั่วโมง
  4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดีที่สุด คือ การเดิน เริ่มโดยเดินช้า ๆ ก่อนแล้วค่อย ๆ เพิ่มระยะทาง แต่อย่าให้เกินกำลังตนเอง
  5. ทำจิตใจให้สงบ หาโอกาสพักผ่อน หาวิธีลดความเครียด หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้น เช่น ดูเกมการแข่งขันที่เร้าใจ ฯลฯ
  6. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงและเค็มจัด
  7. งดดื่มสุรา น้ำชา กาแฟ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  8. หลีกเลี่ยงงานหนัก งานรีบเร่ง และงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องนาน ๆ
  9. เมื่อมีอาการเจ็บหน้าอกให้หยุดกิจกรรมนั้น ๆ ทันที แล้วรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

ไว้วางใจกับโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ

สิ่งสำคัญที่โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพมุ่งเน้นในการรักษา คือ

  • ลดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัด รักษาด้วยทีมแพทย์ที่มีความชำนาญ ด้วยเครื่องมือมาตรฐานและทันสมัย
  • ความพร้อมของทีมพยาบาลและทีมสนับสนุน ซึ่งเป็นผู้ชำนาญการด้านต่าง ๆ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
  • เน้นการให้บริการและการดูแลเอาใจใส่ เพื่อให้เกิดความพึงพอใจในการรับบริการ
  • 24/7 Heart Care Emergency Service
แชร์

สอบถามเพิ่มเติมที่

ชั้น 1 โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ
เปิดบริการทุกวัน 07.00 - 16.00 น.
info@bangkokhospital.com